การคมนาคมขนส่ง คือ ภาคที่มีการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายสูงที่สุดในประเทศ ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทางและการขนส่งสินค้าเป็นกิจกรรมหลักในการใช้พลังงาน ดังนั้นนโยบายที่ส่งเสริมการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพของยานพาหนะ จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการลดการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศ
แนวโน้มการใช้รถยนต์ของประเทศไทยยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
โดยแต่ละปีจะมีรถใหม่เพิ่มขึ้นบนท้องถนนประมาณ 3 ล้านคัน
ข้อมูลยังบ่งชี้ว่าผู้ขับขี่นิยมเลือกใช้รถที่มีขนาดใหญ่และกินน้ำมันมากขึ้น เช่น
รถ SUV รถกระบะ
และรถตู้ขนาดเล็ก ส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำมันของภาคขนส่งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศมากขึ้น
ดังนั้นยุทธศาสตร์ด้านพลังงานสำหรับภาคคมนาคมขนส่ง
เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็น
นอกจากนี้ การเผาผลาญเชื้อเพลิงของรถยนต์
ยังก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ
พบว่าแหล่งกำเนิดสารมลพิษทางอากาศมากกว่าร้อยละ 50
เกิดจากการปล่อยควันจากท่อเสียของรถยนต์ที่ขาดการบำรุงรักษา
หรือมีอายุการใช้งานสูง
คุณชัยยุทธ สารพา
ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
(พพ.) กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า “กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
(พพ.) กระทรวงพลังงาน มีเป้าหมายที่จะลดความเข้มข้นการใช้พลังงาน (Energy Intensity: EI) ลงร้อยละ
30 ภายในปี พ.ศ.2579 ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน (พ.ศ.2558-2579)
โดยได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พลังงานในภาคคมนาคมขนส่ง
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 เป็นต้นมา
รัฐบาลได้เปลี่ยนรูปแบบการเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ตามค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
และมีการนำ Eco Sticker มาใช้เพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถยนต์ทราบว่า
รถยนต์กินน้ำมันกี่ลิตร ต่อการวิ่งในระยะทาง 100 กิโลเมตร
ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้ใช้รถยนต์สามารถนำมาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้น้ำมันของรถยนต์รุ่นต่างๆ
ได้”
Eco Sticker จะแสดงข้อมูลประสิทธิภาพการใช้น้ำมันที่สามารถช่วยผู้ใช้รถยนต์ตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์
โดยการเลือกซื้อรถยนต์ที่ประหยัดพลังงาน
อาจช่วยผู้ขับขี่รถยนต์ประหยัดค่าน้ำมันได้สูงสุดถึง 60,000 บาท
ถ้าผู้ใช้รถยนต์เลือกซื้อรถรุ่นที่ประหยัดน้ำมันที่สุดที่มีอยู่ในท้องตลาดแทนรถใหญ่ที่กินน้ำมันมากที่สุด
คุณคาโรลิน คาโพเน่
ผู้อำนวยการโครงการภาคการคมนาคมประจำประเทศไทย องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน
(GIZ) กล่าวว่า
“ข้อจำกัดของ
Eco Sticker คือ
ค่าการใช้น้ำมันของรถรุ่นต่างๆ ที่รายงานไว้นั้นได้จากการทดสอบในห้องทดลอง
ซึ่งมาตรฐานการทดสอบประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในห้องทดลอง
ไม่สะท้อนสภาวะการขับขี่จริงในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น การทดสอบในห้องทดลองมีการกำหนดค่าความเร็วที่ไม่ได้ตรงกับสภาวะการเดินทางจริงของการขับรถในเมืองในปัจจุบัน
ทำให้ไม่สามารถสะท้อนอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันจากการขับรถยนต์ในช่วงที่มีการจราจรติดขัด
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันของการขับรถยนต์ในเมือง"
ทั้งนี้ งานวิจัยจาก International Council of Clean
Transport (ICCT) ได้ศึกษาความแตกต่างระหว่างอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันจากสภาวะการขับขี่จริงกับอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่มาจากการทดสอบ
พบว่าตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งสองค่ามีความแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
และจากการเก็บข้อมูลในปีพ.ศ. 2562
แสดงให้เห็นว่าค่าการใช้น้ำมันที่ได้จากสภาวะการขับขี่จริงและค่าที่ได้จากห้องทดลองนั้นมีความแตกต่างกันมากถึงร้อยละ
50 โดยประมาณ (จากข้อมูลของการใช้น้ำมันของรถยนต์ในทวีปยุโรปในปีพ.ศ. 2543
ทั้งสองค่านี้มีความแตกต่างกันเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น)
นอกจากนี้ ค่าการปล่อยสารมลพิษ เช่น
ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NOx)
หรือ
ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงขณะขับขี่จริงก็จะมีค่ามากกว่าที่ระบุไว้จากการทดสอบในห้องทดลองอีกด้วย
สำหรับผู้ใช้รถยนต์ความแตกต่างของทั้งสองค่านี้หมายถึงค่าใช้จ่ายการเติมน้ำมันที่มากกว่าที่คาดการณ์ไว้
และสำหรับภาครัฐ จะหมายถึง
ความท้าทายในการกำหนดนโยบายให้ตรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่น
มาตรการสร้างแรงจูงใจเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่
ตัวช่วยในการเก็บข้อมูลเพื่อการประหยัดน้ำมัน
องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย
สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ Moverity
ขึ้นมา
เพื่อช่วยให้ผู้ขับรถยนต์ประหยัดค่าใช้จ่ายจากการเติมน้ำมัน
โดยคำนึงถึงปัญหาความแตกต่างของค่าการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจากห้องทดลองกับการขับขี่จริงบนท้องถนน
โดย Moverity มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน
2 เรื่อง คือ การให้ข้อมูลประสิทธิภาพการใช้น้ำมันของรถรุ่นต่างๆ
เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเปรียบเทียบประกอบการตัดสินใจเมื่อซื้อรถยนต์ใหม่
และการให้เทคนิคการขับขี่เพื่อประหยัดพลังงาน (eco-driving) ผ่านทางแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ
นอกจากนี้ Moverity ยังสามารถแสดงผลการใช้น้ำมันที่เปลี่ยนแปลงเมื่อผู้ใช้งานปรับพฤติกรรมการขับขี่ตามเทคนิคการขับขี่เพื่อประหยัดพลังงาน
เช่น การเปลี่ยนยาง หรือการเปลี่ยนประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยข้อมูลจากการศึกษาเรื่อง The
Transport, Health and Environment Pan European Programme (THE PEP) ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ
แห่งสหประชาชาติในยุโรป และองค์การอนามัยโลกประจำภาคพื้นยุโรป
พบว่าการขับขี่เพื่อประหยัดพลังงานอย่างสม่ำเสมอ
สามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้สูงสุดร้อยละ 20
Moverity จึงเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลการใช้น้ำมันจากผู้ขับรถและสร้างเป็นฐานข้อมูลออนไลน์
(consumer-based crown
sourcing) ทำให้ฐานข้อมูลสะท้อนค่าประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดจากพฤติกรรมการขับขี่จริงบนท้องถนนซึ่งแตกต่างจากค่าที่ได้จากห้องทดลอง
Moverity ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายผ่าน
3 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ แอปพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือทั้งระบบ IOS และ
Android รวมถึง
Facebook Messenger โดยผู้ใช้งานสามารถลงทะเบียนและเลือกรุ่นรถยนต์เพื่อเริ่มต้น
ใช้งานในระบบได้ และกรอกข้อมูลทุกครั้งหลังจากการเติมน้ำมัน
โดยแนะนำให้ผู้ใช้งานเก็บใบเสร็จและจดเลขหน้าไมล์รถยนต์หลังจากเติมน้ำมันทุกครั้ง
ซึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีในการบันทึกแต่ละรอบ
หลังจากนั้นระบบจะคำนวณค่าประสิทธิภาพการใช้น้ำมันของผู้ใช้งาน
ซึ่งขณะนี้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน
กำลังดำเนินการรับมอบ Moverity
เพื่อนำไปเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของ Moverity และทำให้แพลตฟอร์มมีความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น
คุณชัยยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า “รายงานข้อมูลที่ได้มาจากผู้ใช้รถยนต์
เช่น ข้อมูลการใช้น้ำมันของ Moverity
เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อภาครัฐที่จะนำมาใช้วิเคราะห์และประเมินประสิทธิภาพการใช้น้ำมันที่มาจากสภาวะการขับขี่จริง
และยังสามารถใช้ในการติดตามผลการดำเนินมาตรการต่างๆ
เพื่อช่วยให้แผนงานการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Moverity ดูได้ที่ เว็บไซต์
Mymoverity.com , เพจเฟซบุ๊ก moverity ,Line official “@Moverity”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น